“ชมคลิป”ส.ส บัญชา เดชเจริญศิริกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรมเสนอญัตติเรื่องแก้ปัญหาราคาข้าว ต่อสภา
ส.ส.บัญชา เดชเจริญศิริกุล ได้เสนอญัตติ เรื่อง ขอให้กรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร
พิจารณาศึกษาการแก้ปัญหาราคาข้าวทั้งระบบ
นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล : กราบเรียนท่านประธานสภาที่เคารพครับ ผม บัญชา
เดชเจริญศิริกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม คนนครสวรรค์ครับ
ท่านประธานครับ วันนี้ผมต้องขอกราบขอบพระคุณท่านประธานนะครับ ที่ได้เร่งการเสนอญัตติ
มารวมกันในคราวเดียวกันนะครับ เรื่อง ขอเสนอญัตติ เรื่องขอให้คณะกรรมาธิการการเกษตรและ
สหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาราคาข้าวทั้งระบบ ตามข้อบังคับ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๖๒ ข้อ ๔๙ ครับ ผมขอสรุปหลักการและเหตุผลเลยนะครับ
ท่านประธานครับ เพราะว่าข้าวนี่พูดกันมาหลายรัฐบาลก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาจริง ๆ จัง ๆ ได้
สักครั้งหนึ่งเลยครับ ก็ยังมาเสียเวลาในสภาแห่งนี้นี่คุยกันเรื่องข้าวมาตลอด ผมว่าเรื่องข้าวมันควร
จะทำให้มันเป็นกฎหมาย ทำให้มันเป็น พ.ร.บ. เสียจะได้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาหรือคุยกันบ่อย ๆ
ครั้งอย่างนี้นะครับ ท่านประธานครับ ข้าวปัจจัยมันมีอยู่แค่ ๒ อย่างเองครับ ต้นทุนการผลิตกับ
ราคาเท่านั้นเองครับ ต้นทุนการผลิตก็อย่างที่ทราบปัจจุบันนี้นะครับ น้ำมันแพง ปุ๋ยแพง ยาแพง
แรงงานก็แพงเหมือนกันนะครับ อันนี้คือต้นทุนการผลิตของคนไทยของพี่น้องเกษตรกรไทยนะครับ
ในส่วนของเรื่องราคา ณ ปัจจุบันรัฐก็ไม่ได้เข้ามาควบคุมคุมดูแลอะไรนะครับ
โครงสร้างของราคาข้าว เกิดจากอะไรครับ ในประเทศไทยก็มีการค้าข้าว ก็คือมีผู้ผู้ส่งออกข้าวครับ
ที่เป็นผู้กำหนดราคาข้าวของประเทศไทยนะครับ ผู้ส่งออก ๑๐ กว่ารายใหญ่ ๆ เท่านั้นเองนะครับ
ควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศครับ วันนี้ผู้ส่งออกข้าวทุกบริษัทสามัคคี
กันดีครับ ซื้อข้าวราคาเดียวกันหมดทุกบริษัทเลยครับ ผมได้อภิปรายหารือท่านประธานไป
หลายรอบเรื่องข้าว เรื่องเงินที่ผ่านมา เพราะผมดูว่าข้าวมันออก ๓ ระยะนะครับ ผมอธิบาย
เรื่องข้าวก่อนข้าวนาปรังมี ๒ รอบเข้านาปี ๑ รอบ ก็คือนาปรังรอบที่ ๑ ก็คือรอบกุมภาพันธ์
มีนาคม เมษายน พฤษภาคม รอบที่เยอะที่สุดคือรอบนี้ครับ แล้วหลังจากนั้นก็ประปราย รอบที่ ๒
ค่อยจะไปออกเดือนกรกฎาคม สิงหาคม แล้วจะไปถึงนาปีอีกรอบหนึ่ง รอบใหญ่ก็คือเดือนตุลาคม
พฤศจิกายน ธันวาคม ข้าวมันออกของมันอย่างนี้ตลอดอยู่แล้วครับ แต่ปัญหาที่ผ่านมานี่ อย่างที่
เพื่อนสมาชิกได้อภิปรายไป เนื่องจากที่ราคาดีที่ผ่านมา ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ๑. มันเกิดสงคราม
รัสเชีย-ยูเครน เกิดการประกาศของประเทศอินเดียที่หยุดส่งออก ผลที่โชคดีกลับมาในประเทศไทย
ทั้งหมดทั้งราคาไม่ว่าจะข้าว ข้าวโพดหรือมันสำปะหลังมันตีไปทุกหมวด แต่ปัจจุบันทุกอย่างมันเข้า่สูโหมดปกติแล้วครับ สิ่งที่ผ่านมาชาวนาก็ต้องทำนาอย่างนี้ตลอดจะให้เขาไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้
ที่ผ่านมาถือว่าโชคดี แต่ที่หลังจากนี้ไป ชีวิตจริงแล้วนะครับ ข้าวมันก็ออกของมันอย่างนี้ แต่ด้วย
ระบบภาครัฐของเรานี่ขาดความเอาจริงเอาจังกับพี่น้องเกษตรกรเรื่องการแนะนำ เรื่องผลผลิต
เรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกข้าว ณ ปัจจุบันก็เลยทำให้พี่น้องเกษตรกรนี่ไปเอาพันธุ์ของต่างประเทศ
มาปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตเยอะๆ โอเคครับ ช่วงแรกอาจจะดี ข้าวมันมีหลายประเภทมีข้าวนิ่ม
มีข้าวแข็งนะครับ พอเอาข้าวประเภทหนึ่งที่มาปลูกในช่วงที่ขาดผลผลิตมันก็ราคาดี พอชาวบ้าน
เห็นว่าพันธุ์นี้ทำดีได้ผลผลิตเยอะก็เลยทำกันทั้งประเทศ มันก็เลยเสียระบบการค้าไปนะครับ
อันนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องลงไปแก้ โดยเฉพาะกรมวิชาการเกษตร กรมการข้าวที่ต้องเข้าไปดู
การขึ้นทะเบียนข้าวก็เช่นกันครับ มีหลายพันธุ์ที่ตลาดไม่ต้องการก็ควรจะแนะนำพี่น้องเกษตรกรว่า
อย่าปลูก ถ้าขึ้นทะเบียนพันธุ์นี้รัฐไม่ได้ชดเชยอะไรเลย ก็ต้องบอกกับเขาให้เข้าใจนะครับ
เรื่องราคาข้าวถามว่าแก้ปัญหาได้ไหม ต้องถามว่ารัฐบาลมีสตางค์ไหมเท่านั้นเอง
มันมีได้แค่ ๒ ทางเท่านั้นเองที่จะให้เกษตรกรพอใจ สิ่งที่เขาเรียกร้องมาตลอดทุกเรื่องไม่จะพักหนี้
ไม่ว่าจะเรื่องราคาขอเป็นตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาทได้ไหม หรือมีโครงการอะไรมารับรอง
ได้แค่นั้นเองครับ เพราะว่าข้าวเป็นอะไรที่เยอะมาก แล้วก็ออกทั้งปี ซึ่งชาวนาในประเทศไทย
ก็ยังคงต้องทำได้อย่างนี้อยู่ตลอดนะครับ วันนี้เราต้องแก้ไขทั้งระบบจริง ๆ นะครับ ด่านลักลอบ
เล็กน้อย ด่านชายแดนที่ทุกวันนี้เข้าพม่าก็ยังทะลักเข้ามาในไทยอยู่เลยครับ ปลายข้าวมันก็เป็นผล
ส่งผลมาให้ทุกสินค้าเกษตรของไทยทุกอย่างราคาตกต่ำอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าเรื่องมาตรการอะไร
ต่าง ๆ ถ้าไม่เข้มงวดปัญหามันก็จะวนเวียนวนอยู่อย่างนี้เป็นอะไรที่แก้ไม่ได้นะครับ ใครจะตั้งหลัก
หรือตั้งใจให้แก้ปัญหาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากนะครับ ผมขออนุญาตสรุปกับท่านประธานอย่างนี้
เลยนะครับว่า ทางออกของข้าวมันก็ทำได้แค่ ๒ อย่างตรงนี้นี้ละครับ จะใช้มาตรการโครงการอะไร
ก็ได้มารองรับหรือจะจ่ายให้พี่น้องเกษตรกรตรง ๆ เลยตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท
ถ้ามึงบประมาณเพียงพอก็ได้แค่นั้นแล้วก็รวดเร็ว แล้วก็สามารถทำได้เลยถ้าทำได้ ส่วนมาตรการ
ของกระทรวงพาณิชย์ที่ประกาศออกมาว่า ๗ มาตรการผมก็ยังมองดูว่ามันเป็นการทำ Event
เท่านั้นเอง ได้แค่ผ่าน ๆ ไปเหมือนโครงการมันสำปะหลังที่ผ่านมา ที่ผ่านมามันสำปะหลังออกมา
ตั้งแต่เดือนตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคมถึงกุมภาพันธ์มันสำปะหลังจะหมดไปแล้ว
ก็เปิดตลาดนัดแบบนี้แล้วก็กำลังจะเปิดกับข้าว ซึ่งมันไปใช้กับข้าวไม่ได้หรอกครับ ข้าวมันกำลังเริ่ม
จะออกอีก ๓ เดือนข้างหน้ามันออกเต็มที่ทั้งประเทศไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยไม่อย่างนั้นแล้ว
เราจะเอาไม่อยู่นะครับ เกษตรกรทั้งประเทศก็ถือว่าเป็นรากหญ้านะครับ รัฐบาลก็ถือว่าเป็น
ต้นไม้ใหญ่เลยก็แล้วกัน ถ้าขาดรากหญ้าขาดรากฝอยพวกนี้รัฐบาลก็แย่ได้เหมือนกันนะครับ
ผมขอสรุปอย่างนี้ครับท่านประธานขอบคุณครับ
Share this content: