
#ทุกข์ชาวบ้าน! สองสามีภรรยา โอด จ้างรถยกมาลากรถยนต์เก๋งหนีน้ำท่วม พอน้ำลดรถเก๋งหาย ทวงถามรถจอดอยู่ไหนกลับบ่ายเบี่ยง อ้างเป็นสื่อส่วนกลางสนิทกับตำรวจไม่มีใครทำอะไรตนได้ แถมขู่กลับถ้าตกเป็นข่าวจะฟ้องกลับ เผยทุกวันต้องใช้ จยย.พ่วงข้างขี่ส่งขนมกว่า 150 กม.เดือดร้อน อยากร้องให้ไปถึงโหนกระแส ช่วยด้วย



วันที่ 5 มี.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากสองสามีภรรยาว่า ได้ขอความความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการธุรกิจรถยก รถสไลด์ชื่อนาย ป (ปอปลา) ให้มาลากรถยนต์เก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ทะเบียน พว 4640 กรุงเทพมหานคร ออกจากบ้านพักเพื่อหนีน้ำท่วม พอผ่านไปเกือบเดือนเมื่อที่บ้านเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จึงให้นาย ป ช่วยลากรถกลับมาส่งกลับถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด เกรงว่ารถน่าจะสูญหายไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 225/2 ชุมชนดอนเขียวน้อย หมู่ที่ 2 ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ได้พบกับนายเนตร วัขฤทธิ์กุล อายุ 60 ปี และนางสาวบัวเรียน คลองบางคล้า อายุ 56 ปี ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน มีอาชีพทำขนมปังส่งขาย ซึ่งนายเนตรฯ เล่าว่า เมื่อปีที่ผ่านมาช่วงเดือนกันยายนที่บ้านเกิดน้ำท่วม ภรรยาจึงได้โทรฯไปขอความช่วยเหลือจากกู้ภัย เขาก็ส่งรถยก รถสไลด์ ของคนชื่อ “ป” มาลากหนีน้ำท่วมจ่ายเงิน 500 บาท เป็นค่าจ้าง เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา พอผ่านไปเกือบเดือนน้ำก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ วันที่ 2 ต.ค. 67 ตนก็โทรบอกว่าน้ำลดแล้วขอให้ยกรถกลับมาด้วย ก็ได้รับคำตอบจากนาย ป ว่าพรุ่งนี้จะนำรถไปให้ ตนก็รอแล้วรออีกรถก็ยังไม่ลากกลับมาให้ เมื่อโทรไปสอบถามก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดจนทุกวันนี้ และเมื่อวันที่ 15 ก.พ.68 ที่ผ่านมาตนจึงตัดสินใจให้ลูกสาวไปแจ้งลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าบ่อ เนื่องจากเกรงว่ารถจะสูญหายไปแล้ว ซิ่งร้อยเวรได้มีการเรียกนาย ป มาสอบถาม แต่ปรากฏว่านาย ป ไม่พูดไม่จาอะไรแล้วเดินหนีออกไปแบบงงๆ ตนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วคิดว่าเขาคงเป็นคนใหญ่คนโตหรือไง ไม่เกรงกลัวอะไรเลย เขาเคยอ้างว่าเขาเป็นนักข่าวส่วนกลางและสนิทกับตำรวจ ในวงการตำรวจเขารู้จักหมด ตนก็คิดว่าน่าจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด ถ้าไม่สนิทเขาคงไม่เดินออกจากห้องสอบสวน ทั้งที่ตำรวจเรียกมาไกล่เกลี่ยแต่กลับเดินหนีเฉย
นายเนตร กล่าวอีกว่า ตนได้ให้ลูกสาวที่เป็นครู พูดคุยเจรจากับนาย ป ผ่านทางไลน์ สอบถามว่ารถอยู่ไหน ก็ได้รับคำตอบว่ารถอยู่ที่บ้านหลังร้านราชาข้าวต้ม แต่พอลูกสาวตนจะขอไปดูรถ กลับอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ต้องมีพี่(นาย ป)เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ลูกสาวจึงให้นาย ป ถ่ายรูปมาให้ดูว่ารถยังอยู่หรือไม่ ซึ่งนาย ป ก็ส่งภาพถ่ายรถมาให้ดูพร้อมระบุวันที่ 16 ก.ย. 67 ในพื้นที่ถนนท่าเสด็จ ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ ซึ่งมันแตกต่างจากคำที่กล่าวอ้างว่ารถอยู่ที่บ้านหลังร้านราชาข้าวต้ม ที่อยู่ในพื้นที่ริมถนนทางหลวง 211 และยังอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แต่พอถามย้ำๆ ไป ก็ได้รับคำตอบแบบปัดความรับผิดชอบไปว่า “ไม่รู้ไปไว้ที่ไหน ลืมไปละ” ตนก็คิดไปว่า “รถมันไม่ใช่กระป๋องนมนะ ถึงจะหายได้ง่ายๆ” คุณทำธุรกิจนี้คุณมาลืมได้ไง ซึ่งตนอยากจะนำแบตเตอรี่รถมาชาร์จแต่หารถไม่เจอ นาย ป ก็บ่ายเบี่ยงคลอดมา แถมยังขู่ว่า หากนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนนักข่าว เขาจะฟ้องกลับ เขายังบอกอีกว่าเขาเป็นเด็กของตำรวจ จะทำอะไรเขาได้
นายเนตร กล่าวต่อว่า รถยนต์เก๋งคันนี้เถ้าแก่ได้ขายให้ตน ราคา 30,000 บาท แบบผ่อนชำระเดือนละ 5,000 บาท เพื่อเอาไว้ขับขี่ส่งขนมปัง ซึ่งรถคันนี้ขี่ส่งขนมปังจนส่งลูกสาวเรียนจบปริญญาโทมาแล้ว ซึ่งนาย ป เคยไลน์ถามลูกสาวว่า “รถถ้าซ่อมคิดว่าคุ้มหรือครับ” “ขายไหมครับ ซ่อมคงไม่คุ้ม” โดยลูกสาวได้ตอบไปว่า “รถยังพอขี่ได้อยู่” ซึ่งครอบครัวเราเป็นคนไม่มีอะไร แต่เขาเยาะเย้ยเรามาก ทุกวันนี้ต้องใช้ จยย.พ่วงข้างขี่ไปส่งขนมปังที่ อ.โพนพิสัยระยะทางกว่า 150 กิโลเมตร ซึ่งพนักงานสอบได้เรียกไปเจรจากันแล้ว โดยผ่านทางลูกสาวของตนได้ขอค่าชดใช้เป็นเงิน 30,000 บาท ซึ่งนาย ป ได้มีการไกล่เกลี่ยขอผ่อนชำระ ลูกสาวก็ตกลงให้ผ่อนชำระรายเดือนๆ ละ 10,000 บาท จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้สักบาท คาดว่ารถคงไม่ได้คืนแล้วแน่นอน ลูกสาวของตนจึงเข้าไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนฯ เนื่องจากติดต่อนาย ป ไม่ได้ คิดว่าน่าจะมีเจตนายักยอกเอารถเก๋งไปเป็นของตนหรือผู้อื่นแล้ว เพื่อให้ดำเนินคดีกับนาย ป ให้ถึงที่สุด ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวกลุ่มใจมาก อยากร้องเรียนไปยังโหนกระแสดช่วยตีแผ่เรื่องนี้ด้วย
Share this content: