ทีมนักวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาน่าน สำนักงาน บริษัทไฟฟ้าหงสา จำกัดองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำมวบ องค์การบริหารส่วนตำบลส้าน อำเภอเวียงสา และสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดน่าน เข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่เครือข่ายชุมชนด้านการจัดการวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรเพื่อลดจุดความร้อน hot spot และฝุ่นละออง PM2.5










เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ทีมนักวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นำโดยนางสาวนัติฐา ครุฑหมื่นไวย และนายสรศักดิ์ ใจตุ้ย นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ชำนาญการพิเศษร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาน่าน สำนักงาน บริษัทไฟฟ้าหงสา จำกัด และองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำมวบ องค์การบริหารส่วนตำบลส้าน อำเภอเวียงสา และสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดน่าน ได้เดินเข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่เครือข่ายชุมชนด้านการจัดการวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรเพื่อลดจุดความร้อน hot spot และฝุ่นละออง PM2.5 ในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
โดยการตรวจเยี่ยมพื้นที่เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายครั้งนี้ คณะนักวิจัยมุ่งเน้นการหาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกับเครือข่ายชุมชนและหน่วยงานราชการในระดับท้องถิ่น อำเภอเวียงสา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ 1. พัฒนาระบบการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ โดยเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและภาคเอกชนที่รับซื้อ รวมถึงการพัฒนากระบวนการแปรรูปเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ 2. ส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือกที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาด เพื่อทดแทนการปลูกข้าวโพด ลดพื้นที่การเผา และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร 3. สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรลดการเผาผ่านระบบการรับรองการผลิตพืชแบบไม่เผา (no-burn certification) ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และ 4. สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนที่ต้องการรับซื้อผลผลิตที่มาจากระบบการเกษตรแบบยั่งยืน โดยพัฒนาช่องทางตลาดใหม่ และส่งเสริมพื้นที่ต้นแบบ (best practice) สำหรับการพัฒนาเกษตรกรรมแบบครบวงจร
โดยมีเป้าหมายหลักในการลดจำนวนจุด hotspot ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากการเผาในที่โล่งให้น้อยกว่า 4,000 จุด/ปี ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยเน้นการบริหารจัดการวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรอย่างยั่งยืน ลดการเผา ลดการปล่อยฝุ่น PM2.5 ลงสู่บรรยากาศ ซึ่งช่วยควบคุมมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบจากฝุ่นละออง ลดความเสี่ยงของไฟป่า การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ และ ลดอัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการ คือ สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โดยช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ลดผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพ เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งโดยเกษตรกรได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ผ่านการปลูกพืชทดแทนและพัฒนาช่องทางการตลาด เกิดต้นแบบการจัดการเกษตรยั่งยืน โดยพื้นที่เป้าหมายได้รับการพัฒนาเป็น Best Practice สำหรับเกษตรกรรมปลอดการเผา เกิดความร่วมมือข้ามภาคส่วน เกิดการบูรณาการระหว่างชุมชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐในการจัดการปัญหามลพิษ สรุปภาพรวม โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดฝุ่น PM2.5 และควบคุม hotspot เท่านั้น แต่ยังเป็น ต้นแบบการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ที่สามารถต่อยอดไปยังพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยได้ การพัฒนาเครือข่ายชุมชนและภาคธุรกิจร่วมกันช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม และเป็นก้าวสำคัญในการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศในระยะยาว
“””””รายงาน””
Share this content: