ดร.มหานิยม”เผยศาลปกครองกลางสั่งห้ามกรมธนารักษ์ขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑล2,500ไร่เป็นที่ราชพัสดุต้องเป็นของพระพุทธศาสนา*






วันที่ 19 มีนาคม 2568 “ดร.นิยม เวชกามา”หรือ “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ที่ห้องพิจารณาคดี 6 ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายดำที่ 133/2565 คดีหมายเลขแดงที่ 536/2568 ระหว่าง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ฟ้องคดี กรมธนารักษ์ ผู้ถูกฟ้องคดี
ศาลได้มีคำพิพากษาโดยสรุปว่าพิจารณาจากความเป็นมาของพุทธมณฑลแล้วเกิดจากความร่วมใจของ สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และประชาชนในการจัดหาที่ดินเพื่อจัดสร้างพุทธมณฑลถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา ศาสนสมบัติกลางตาม มาตรา 40 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ จึงพิพากษาให้ห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีนำที่ดินพุทธมณฑล 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ
โดยรายละเอียด คดีนี้ผู้ฟ้องคดี (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลรักษาและ
พัฒนาที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ ซึ่งเป็นศาสนสมบัติของพระพุทธศาสนา และเป็น
ศาสนสมบัติกลางตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและเข้าปกครองดูแล
ที่ราชพัสดุแปลงนี้ตามมาตรา 8 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 จึงขอให้ศาล
พิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีระงับการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ เป็นที่ราชพัสดุ
เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่ศาสนสมบัติกลาง อันเป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา
ผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) ได้มีความเห็นตามเรื่องที่ 329/2563 เรื่อง สถานะของที่ดินพุทธมณฑล สรุปได้ว่า พุทธมณฑลเป็นที่ดินที่ใช้ในกิจการของรัฐด้านพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม การใช้พื้นที่มีความหลากหลาย มิได้จำกัดเฉพาะกิจการของคณะสงฆ์หรือพระศาสนาเท่านั้น และการดำเนินการสร้างพุทธมณฑลในอดีตได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี มาโดยตลอด โดยใช้การบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายชุด เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสร้างพุทธมณฑล แม้การใช้ประโยชน์พุทธมณฑลจะมีลักษณะเปิดกว้างไว้ สำหรับเพื่อบริการประชาชนทั่วไปก็ตาม แต่พุทธมณฑลก็มิได้จัดสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของพลเมืองโดยตรง แต่จัดสร้างขึ้นและใช้ประโยชน์เพื่อกิจการของรัฐด้านพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมโดยเฉพาะ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงมิใช่ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เว้นแต่บริเวณคลองนา (สาธารณประโยชน์) และไม่เข้าลักษณะเป็นศาสนาสมบัติกลางตามมาตรา 40 (1) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่รัฐจัดสร้างขึ้น
ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 และเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 6 (2) แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 เว้นแต่บริเวณคลองนา (สาธารณประโยชน์) ที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม จึงได้ดำเนินการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่แสดงรายละเอียดการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พร้อมทั้งรายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบ และมีหนังสือถึง สำนักงานพุทธมณฑล เพื่อขอให้สำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ตามแบบรายการส่ง – รับที่ราชพัสดุขึ้นทะเบียน (แบบ ทร 03, 04) จัดส่งให้
สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม เพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พุทธมณฑลสร้างขึ้นตามเจตนารมณ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเฉลิมฉลองงาน 25 พุทธศตวรรษ โดยพิจารณาได้จากปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในพุทธมณฑล ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ส่วนในการจัดหาที่ดินนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับซื้อที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 135 ไร่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งได้มีประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินถวายเป็นพุทธบูชาและร่วมสมทบในการสร้างพระพุทธรูปและพุทธมณฑลแล้ว เป็นเงินจำนวน 2,764,256.82 บาท รวมถึง ฯพณฯ อูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า (ในขณะนั้น) ได้มอบเงินให้จำนวน 50,000 จ๊าด
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายพระเครื่อง พระพุทธรูป แสตมป์ ปฏิทินและเสมาที่ระลึก โดยเป็นการร่วมแรงร่วมใจในการจัดสร้างพุทธมณฑล
ตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย จนรวบรวมที่ดินได้จำนวน 2,205 ไร่ 96 ตารางวา ที่ดินที่ได้มาดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีผู้ถวายให้แก่พระศาสนา แต่ปรากฏว่ายังขาดอีกจำนวน 294 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา จึงจะครบ 2,500 ไร่ ตามที่กำหนดไว้ รัฐบาลจึงได้มีการเวนคืนที่ดินจำนวนที่ยังขาดอยู่ แต่ก็เพื่อให้การดำเนินการจัดสร้างพุทธมณฑลสำเร็จลุล่วงตามเจตนารมณ์เท่านั้น หาได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำที่ดินไปใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือเพื่อประโยชน์ของทางราชการตาใกฎหมายแต่อย่างใด กรณีจึงต้องถือว่าเจตนารมณ์ทั้งของสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และประชาชนชาวไทยในการจัดซื้อและจัดหาที่ดินเนื้อที่ รวม 2,500 ไร่ จัดสร้างพุทธมณฑลก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอุทิศให้พระพุทธศาสนา ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑล จึงเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว จึงรับฟังเป็นยุติว่า พุทธมณฑล เป็นพุทธสถานที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา และเมื่อที่ดินดังกล่าวมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงเป็นศาสนสมบัติกลาง ตามมาตรา 46 (1)แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับ
อยู่ในขณะที่จัดตั้งพุทธมณฑล และตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ที่มีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการ รวมทั้งเป็นเจ้าของ
ตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเป็นที่ดินที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติยกเว้นไว้
ไม่ให้ถือเป็นที่ราชพัสดุ ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 (7) แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562
เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนาอันเป็นศาสนสมบัติกลาง มิใช่ที่ราชพัสดุตามกฎหมายที่ราชพัสดุ ฉะนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 17 และมาตรา 18
วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบข้อ 6 (16) ของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วย
การปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2546 ให้ผู้ฟ้องคดีทำการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ราชพัสดุแต่อย่างใด
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยสำนักงานธนารักษ์
พื้นที่นครปฐมได้มีหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีสำรวจรังวัด และจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล
พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีสำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามแบบรายการส่ง – รับที่ราชพัสดุขึ้นทะเบียนจัดส่งให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม เพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป
จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีนำที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ
คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สรุปศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ กรมธนารักษ์ยุติการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลเป็นที่ราชพัสดุ โดยตัดสินว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นศาสนสมบัติกลางของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ ตามกฎหมายที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562//////ดร.นิยม เวชกามา…/kao kon E san…//
Share this content: